โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะที่เกิดจากการขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งสามารถเกิดได้จากการอุดตันของหลอดเลือด (หลอดเลือดสมองตีบ) หรือการแตกของหลอดเลือด (หลอดเลือดสมองแตก) ส่งผลให้เซลล์สมองตายหรือได้รับความเสียหาย อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนแรงครึ่งซีก, พูดไม่ชัด, และการสูญเสียความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน

โรคหลอดเลือดสมอง วิธีรักษา

1. การรักษาเฉียบพลัน:

• การใช้ยา: ยาละลายลิ่มเลือด (tPA) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน โดยต้องให้ภายใน 3-4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ
• การทำสวนหัวใจ: การใช้วิธีการทำสวนเพื่อดึงลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมอง

2. การฟื้นฟูสมรรถภาพ:

• กายภาพบำบัด: เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีการเคลื่อนไหวที่ดี
• การพูดบำบัด: สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการสื่อสาร

3. การป้องกันการเกิดซ้ำ:

• การควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, และระดับไขมันในเลือด
• การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือดตามคำแนะนำของแพทย์

อาการแทรกซ้อนที่ต้องเฝ้าระวัง

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอาจประสบกับอาการแทรกซ้อนได้ เช่น:

• ภาวะติดเชื้อ: เช่น ปอดบวม หรือแผลกดทับ
• ภาวะแทรกซ้อนทางจิตใจ: เช่น ซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
• ปัญหาการกลืน: ซึ่งอาจทำให้เกิดการสำลัก

การเฝ้าระวังอาการเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

บริการของโรงพยาบาลรามคำแหง

โรงพยาบาลรามคำแหงมีบริการด้านการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ครบวงจร โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลอดเลือดสมอง พร้อมทั้งมีหน่วยฟื้นฟูสมรรถภาพที่ทันสมัย การให้บริการดูแลอย่างใกล้ชิดและการติดตามอาการหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

หากคุณหรือคนที่คุณรักมีอาการเสี่ยงหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลรามคำแหง เราพร้อมดูแลคุณอย่างเต็มที่!

การตรวจมะเร็งตับเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมะเร็งตับมักไม่มีอาการในระยะแรก และเมื่อแสดงอาการอาจอยู่ในระยะที่รักษายากแล้ว การตรวจคัดกรองเป็นประจำสามารถช่วยในการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ทำให้มีโอกาสในการรักษาที่สูงขึ้นและยืดอายุผู้ป่วยได้ โรงพยาบาลรามคำแหง 2 มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและรักษามะเร็งตับ เพื่อให้คุณได้รับการดูแลที่ดีที่สุดในทุกขั้นตอน

ความสำคัญของการตรวจมะเร็งตับ
มะเร็งตับเป็นโรคร้ายแรงที่มักไม่แสดงอาการในระยะแรก ส่งผลให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การตรวจมะเร็งตับเป็นประจำสามารถช่วยตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นช่วงที่โอกาสในการรักษาและการฟื้นฟูมีสูงมาก การตรวจช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของมะเร็ง และเพิ่มโอกาสในการรักษาที่สำเร็จ หากผู้ป่วยได้รับการตรวจและดูแลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้

มะเร็งตับ 
มะเร็งตับเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติในตับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ มะเร็งตับปฐมภูมิ (เกิดจากเซลล์ตับเอง) และ มะเร็งตับทุติยภูมิ (เกิดจากการแพร่กระจายของมะเร็งจากส่วนอื่นของร่างกายมาตับ) มะเร็งตับเป็นหนึ่งในมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง เนื่องจากมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่ออาการแสดงชัดเจนแล้ว มักจะเป็นระยะที่โรครุนแรงขึ้น

สาเหตุ 
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งตับ ได้แก่ 
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี 
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน 
- โรคตับแข็ง 
- การรับสารพิษอะฟลาทอกซิน (พบในอาหารปนเปื้อน)

อาการ 
ในระยะแรกมะเร็งตับอาจไม่มีอาการเด่นชัด แต่เมื่อโรคพัฒนาขึ้น อาจพบอาการเช่น 
- ปวดหรือแน่นท้องบริเวณตับ 
- ตัวเหลือง ตาเหลือง 
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว 
- เหนื่อยง่าย 
- ท้องบวม

การรักษา
การรักษามะเร็งตับขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพของผู้ป่วย โดยมีวิธีรักษาได้แก่ 
- การผ่าตัดตับ 
- การปลูกถ่ายตับ 
- เคมีบำบัดหรือการฉายแสง 
- การรักษาด้วยยาที่ควบคุมการเติบโตของมะเร็ง

การป้องกัน
การป้องกันมะเร็งตับสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และรับประทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย การตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรก