(https://freelydays.com/wp-content/uploads/2023/04/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2-696x364.jpg)ในตอนที่ยังเป็นนักเรียน หลายๆคนต่างเชื่อเสมอว่าถ้าเกิดได้ตั้งอกตั้งใจเรียน สอบติดคณะที่ใช่
ยิ่งได้โอกาสได้งานที่ดี เงินเดือนที่ดี แล้วก็ยิ่งเป็นอาชีพที่คนไหนก็รู้จักอย่างเช่น ข้าราชการ, วิศวกร
นักธุรกิจยิ่งน่าภาคภูมิไปใหญ่ เพราะนอกจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีจำนวนไม่น้อยพอที่จะอุดหนุน
ครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับให้เป็นสุขยังเป็นอาชีพที่ถือว่า "มีหน้ามีตา" ผู้ใดก็ต้อนรับกันหมด
แต่ว่าในโลกของข้อเท็จจริงแล้ว อาชีพที่ "มีหน้ามีตา" ในสังคม มิได้เหมาะสมกับทุกคนเสมอ
และในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการกำหนดอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจำกัดน่ะสิ !
"แล้วจะเรียนไปเพราะเหตุไร ถ้าเกิดสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ ค่าจ้างรายเดือนที่มิได้มากอะไร ?"
ปัญหานี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากเลย ด้วยเหตุว่ามันเต็มไปด้วยความคาดหมายที่รู้สึกว่า
"พวกเรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต" แม้กระนั้นถ้าเกิดลองเปลี่ยนเป็นความคิด "ฉันทำงานอะไรก็ได้
ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ตาม" มันอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายตาบางบุคคล
แต่ว่าถ้าหากคิดๆดูแล้ว มันได้การบันเทิงใจ มากมายกว่าการตั้งปัญหาแบบแรกเพราะเรื่องจริงของชีวิตคือ
1. มนุษย์ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในตัวเอง "แตกต่างกัน" กันไปเราไม่จำเป็นที่ต้องเก่งเช่นเดียวกันหมด
2. ในรั้วโรงเรียน- ม ห า วิ ท ย า ลั ยถึงแม้ว่าจะเราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน
ขอบเขตความรู้มันก็เป็นเพียงแต่ความรู้ในรั้วเพียงแค่นั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น พวกเรายังจำเป็นต้องทราบเหตุการณ์อีกมาก
ทำความเข้าใจกันอีก ย า ว ลองผิดลองถูกกันอีกเยอะเพราะฉะนั้น จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียนมาสายวิทย์
จำเป็นต้องปฏิบัติงานสายวิทย์ เรียนสายภาษาต้องปฏิบัติงานสายภาษา มันก็ผิดเสมอ
3. มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ "ใช่"
ค่อยๆทำความเข้าใจ ค่อยๆปรับตัวไป สิ่งที่พวกเรากำลังสนุกขณะนี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด
สิ่งที่พวกเราเก่งในขณะนี้ ในวันข้างหน้า มันบางทีอาจเป็นเพียงแต่ความทรงจำ
เนื่องจากอาจมีหลายปัจจัยให้คิดมากขึ้น อาทิเช่น จึงควรพับโครงงานศึกษาต่อเอาไว้
เนื่องจากเงินน้อยเกินไปจำเป็นที่จะต้องทำงานหารายได้ก่อน และหลังจากนั้นก็ค่อยไปเรียนศิลปะที่พวกเราถูกใจ ...
พวกเราจำต้องมองจังหวะของชีวิตด้วย (เหตุจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง
4. สิ่งที่พวกเราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันเป็น "การหลอมหลอม" หลายวิชามิได้
สอนพวกเราทางตรง แต่ว่าให้พวกเราค่อยๆซึมซับจุดเด่นแต่ว่าอย่างไปเอง ได้แก่ ฝึกฝนความอดทน, ฝึกหัดความละเอียดลออ,
ฝึกหัดความสามารถการเข้าสังคมในครั้งหนึ่งที่เราไม่เห็นคุณประโยชน์ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอเพียงโตขึ้นอีกหน่อย
มันก็ต้องมีบ้างแหละที่พวกเราคิดอะไรขึ้นมากระทั่งจะต้องไปหา อ่ า น ปัดฝุ่นหนังสือเรียนอีกรอบ
ทุกวิชาความรู้ที่เราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกถึงให้ดีสิ !
5. มนุษย์เราควรมีลู่ทางให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ "มีแผนในการสำรอง"
เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตัวเองจนกระทั่งเหลือเกิน ดังเช่นว่า หากวุฒิที่พวกเราเรียนมามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้หางานไปก่อน?
ถ้าหากเรามิได้อาชีพนี้ พวกเรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?
ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่สมควรเป็นสิ่งที่ได้ดั่งหัวใจในทันทีมันคือเรื่องปกติมากๆที่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกับความเหนื่อย
ความ พ ย า ย า ม หลายเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดหากจะพบว่าเพราะเหตุไร ห ม อ
บางคนถึงเขียนเพลงได้?
เพราะเหตุใดบางบุคคลเรียนวิชาชีพแต่มาเป็นนักแสดง?
เพราะเหตุใดบางคนเรียนไม่จบแต่ประสบผลสำเร็จ?
ถ้าเกิดยังไม่เข้าในข้อนี้ ทดลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 4 อีกรอบขึ้นชื่อว่า "วิชาความรู้" พวกเราได้รับมา
ถึงจะไม่ใช้ในทันทีก็ไม่ควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้
ใช่ว่าวันหน้าจะไม่มีทางเป็นไปได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า... "รู้สึกตัวดีไหมว่าทำอะไรอยู่?" และก็
"พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า?"
อย่ าลืมว่า...โลกเรากลม และก็มีหลายมิติ ใช่ว่าควรต้องมองเพียงด้านเดียว
ข้อคิดชีวิต
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/13507/
คำค้นหา : ทำงานไม่ตรงสาย (https://freelydays.com/13507/)